เจาะลึกตลาดโลก (Deep insight into the global market)

เดนมาร์ก

3daysofdesign-2025.pdf

medium_3-2.jpg

small_3-2.jpg

thumbnail_3-2.jpg

3-2.jpg

สคต. ณ กรุงโคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก)

งานแสดงสินค้าที่มีศักยภาพ: 3daysofdesign

เยอรมนี

medium_Fact-Sheet-Germany-2025-06.jpg

small_Fact-Sheet-Germany-2025-06.jpg

thumbnail_Fact-Sheet-Germany-2025-06.jpg

Fact-Sheet-Germany-2025-06.jpg

สคต. ณ กรุงเบอร์ลิน (เยอรมนี)

FACT SHEET Germany June 2025

ในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) ของปี 2568 กัมพูชาสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้จำนวน 2.95 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีนักท่องเที่ยว 2.64 ล้านคน
การเติบโตดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่อสันติภาพ เสถียรภาพ ความสมดุลทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางสังคมของประเทศ

จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยว พบว่า 5 ประเทศต้นทางที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ากัมพูชามากที่สุด ได้แก่ ไทย เวียดนาม จีน สหรัฐอเมริกา และลาว

ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในสี่เสาหลักทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ร่วมกับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ผลิตภัณฑ์การเดินทาง การเกษตร การก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์

ความเห็นของสำนักงานฯ
<ol>
 	<li>หากต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นกลไกสำคัญที่รัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญในการพัฒนา ปัจจุบัน การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวผ่านสื่อดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้ KOLs บนแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Facebook, TikTok และ YouTube เป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาได้สนับสนุนแผนของสมาคมดิจิทัลกัมพูชา-จีน ในการจัดงาน “KOLs กัมพูชา-จีน” ช่วงเดือนกันยายน–ตุลาคม 2568 เพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวกัมพูชาแก่ ชาวจีนในยูนนานและทั่วโลก ซึ่งคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน</li>
 	<li>ที่ผ่านมา กัมพูชาได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวในอาเซียน โดยเฉพาะจากไทย เวียดนาม และลาว ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดทั้งทางวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์</li>
</ol>
แม้กัมพูชาจะมุ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีนและทั่วโลก แต่ก็ยังต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวในภูมิภาคอย่างยั่งยืนระยะยาว
ที่มา: Khmer Times &amp; AMS News
มิถุนายน 2568

กัมพูชา

thumbnail_ท่องเที่ยว.jpg

ท่องเที่ยว.jpg

สคต. ณ กรุงพนมเปญ (กัมพูชา)

“กัมพูชาดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.95 ล้านคนใน 5 เดือนแรกของปี 2568”

เรือบรรทุกสินค้าลำแรกได้ออกจากท่าเรือ Suzhou ประเทศจีน เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 มุ่งหน้าสู่ท่าเรือสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา ถือเป็นการเปิดตัวเส้นทางเดินเรือตู้คอนเทนเนอร์สายใหม่อย่างเป็นทางการ
Mr. Wang Wenbin เอกอัครราชทูตจีนประจำกัมพูชา ระบุว่า เส้นทางใหม่นี้จะช่วยลดระยะเวลาการขนส่งจากเดิม 15–20 วัน เหลือเพียง 9 วัน เมื่อเทียบกับระบบโลจิสติกส์แบบเดิม

ด้าน Mr. Peng Ponea รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและคมนาคมของกัมพูชา กล่าวว่า การเชื่อมโยงระดับภูมิภาคและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เป็นวาระสำคัญของประเทศ โดยการพัฒนาในด้านนี้จะช่วยเสริมศักยภาพของกัมพูชาในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงในภูมิภาค และส่งเสริมบทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลก

ข้อมูลจากกรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา (GDCE) ระบุว่า มูลค่าการค้าระหว่างกัมพูชาและจีนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–พฤษภาคม) อยู่ที่ 7.63 พันล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้น 27.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 5.99 พันล้านดอลลาร์ฯ โดยการนำเข้าจากจีนมีมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์ฯ ขณะที่การส่งออกจากกัมพูชาไปจีนอยู่ที่ 634 ล้านดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้ การเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่นี้คาดว่าจะช่วยให้การขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศมีความราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ความเห็นของสำนักงานฯ
<ol>
 	<li>การเปิดเส้นทางเดินเรือตู้คอนเทนเนอร์จากจีนสู่กัมพูชา ถือเป็นพัฒนาการเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เนื่องจากช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนในการขนส่ง พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับกัมพูชาในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจ และศูนย์กลางเชื่อมโยงกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</li>
 	<li>แม้มูลค่าการค้ารวมระหว่างกัมพูชาและจีนจะเติบโตในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 แต่ยังคงมีความไม่สมดุลทางการค้าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เส้นทางเดินเรือใหม่นี้อาจเป็นโอกาสให้กัมพูชาเร่งส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าหัตถกรรม และอุตสาหกรรม ซึ่งมีศักยภาพในการเจาะตลาดจีน เพื่อช่วยลดการขาดดุลทางการค้า ต่อไป</li>
</ol>
ที่มา: Kampuchea Thmey Daily &amp; Kar Pit News
มิถุนายน 2568

thumbnail_จีน.jpg

จีน.jpg

“กัมพูชาต้อนรับเรือตู้คอนเทนเนอร์ลำแรกจากจีน”

นาง Katherina Reiche สังกัดพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU - Christlich Demokratische Union Deutschlands) ที่เพิ่งเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงาน ได้ออกมาชี้แจงในวาระเข้าดำรงตำแหน่งฯ ว่า “การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซที่มีกำลังการผลิต 20 กิกะวัตต์ (GW) เป็นเรื่องสำคัญที่สุด” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในการประชุมอุตสาหกรรม Reiche ได้เน้นย้ำเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง โดยระบุว่า เธอตั้งใจจะดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่มีใครในอุตสาหกรรมพลังงานตั้งคำถามต่อเรื่องนี้ แต่ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายที่จะสร้างโรงงานจำนวนมากที่มีกำลังการผลิตรวมกันมากถึง 20 กิกะวัตต์ นั้นได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กล่าวคือ นาย Simone Peter ประธานสมาพันธ์พลังงานหมุนเวียนแห่งเยอรมนี (BEE - Bundesverband Erneuerbare Energie) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Handelsblatt ว่า “ผมมองเห็นความเสี่ยงที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ มากกว่าที่มีความจำเป็นจริง ๆ รัฐบาลกลางชุดใหม่ไม่ควรประเมินศักยภาพของโรงงานจัดเก็บพลังงานไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ และทางเลือกอื่น ๆ ต่ำเกินไป เพราะทางเลือกอื่นๆ นั้น สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นในโครงสร้างเครือข่ายพลังงานไฟฟ้าของเราได้” โดยเขายังได้กล่าวอีกว่า ทางเลือกทั้งหมดที่กล่าวมานี้ “สะอาดกว่า เร็วกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่า รวมถึงยังเป็นมิตรต่อระบบ มากกว่าโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซแห่งใหม่เพียงอย่างเดียว” นอกจากนี้ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคส์เยอรมนี (ZVEI - Zentralverband Elektrotechnik- und Elektronikindustrie) ได้ออกมาเตือนว่า “กำลังการผลิตส่วนเกินที่ประเทศต้องซื้อมาด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล และจัดหาเงินทุนผ่านการสร้างหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น”
ในอนาคตโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซแห่งใหม่นี้จะเข้ามาแทนที่เมื่อการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไปจนถึงช่วงที่ “ลมไม่พัด แดดไม่ออก” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในปริมาณต่ำมากนั่นเอง โดยอาจมีเวลานานถึง 2 สัปดาห์ก็ได้ โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่ตั้งใจจะสร้างขึ้นมานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนการใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินในปัจจุบัน โดยโรงไฟฟ้าถ่านหินจะยังคงทำหน้าที่เป็นโรงไฟฟ้าสำรอง (Back-up) อยู่ แต่โรงไฟฟ้าเหล่านี้จะต้องปิดตัวลงโดยเร็วที่สุดด้วยเหตุผลด้านการอนุรักษ์สภาพภูมิอากาศ การสร้างโรงไฟฟ้า Back-up แห่งใหม่กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่ท้าทายมาสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ในอดีตกลุ่มพันธมิตรพรรคร่วมรัฐบาลชุดเก่าได้พยายามสร้างแรงจูงใจทางกฎหมายต่อการก่อสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวขึ้น อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัยของโรงไฟฟ้า (KWSG) ที่วางแผนไว้ล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อกลุ่มพรรคร่วมล่มสลายลงในปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งปัญหาหลักก็คือ ข้อพิพาทกับคณะกรรมาธิการยุโรปเกี่ยวกับขอบเขตของเงินอุดหนุนสำหรับการก่อสร้าง และการดำเนินการโรงไฟฟ้าที่จะสร้างใหม่นี้กินเวลาหลายเดือนนั่นเอง ตอนนี้นาง Reiche กำลังพยายามใหม่อีกครั้ง โดยได้ตั้งมาตรฐานให้สูงขึ้นไปอีก ในขณะที่รัฐบาลชุดก่อนได้กำหนดเป้าหมายในการสร้างแรงจูงใจในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิต 12.5 กิกะวัตต์ ภายในปี 2030 นาง Reiche ต้องการสร้างแรงจูงใจในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 20 กิกะวัตต์ ซึ่งกำลังการผลิตที่สูงถึง 20 กิกะวัตต์ นี้เทียบเท่ากับต้องโรงไฟฟ้าใหม่ขนาดใหญ่ประมาณ 40 โรง เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่ตั้งเมื่อปี 2030 ถือว่า เป็นไปไม่ได้แล้วที่รัฐบาลจะสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ โดยปกติแล้ว จะใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาน 6 ปี ตั้งแต่การวางแผนจนถึงการว่าจ้างโรงไฟฟ้าก๊าซขนาดใหญ่ ดังนั้นนาง Reiche จึงประกาศเมื่อไม่นานนี้ว่า เธอตั้งใจที่จะเปิดตัวโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิต 5 - 10 กิกะวัตต์ เป็นอันดับแรกก่อน ซึ่งเธออธิบายว่า นี่เป็น “เรือเร็ว” ที่จำเป็น โดยการประมูลโรงไฟฟ้าเหล่านี้จะพร้อมเริ่มดำเนินการ “ภายในสิ้นปีนี้”

&nbsp;

นาง Reiche ไม่ทิ้งข้อสงสัยใด ๆ ว่า โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญสำหรับเธอขนาดไหน โดยได้ให้สัมภาษณ์กับ Handelsblatt ว่า “เราต้องการเครื่องมือหลาย ๆ อย่าง ที่มีในการผลิตไฟฟ้า แต่โรงไฟฟ้าก๊าซจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักสุด” ซึ่ง Reiche ได้รับการสนับสนุนจากนาย Andreas Lenz (CSU) โฆษกด้านนโยบายพลังงานของกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐสภาฯ ของ กลุ่ม Union หรือกลุ่มสหภาพที่ประกอบด้วยพรรค CDU และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU - Christlich-Soziale Union in Bayern) โดยกล่าวว่า “การก่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซแห่งใหม่ เป็นเรื่องสำคัญมาก หากเราไม่สามารถดำเนินการประกวดราคารอบแรกได้โดยเร็ว ความเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านอุปทานก็จะเพิ่มขึ้น” อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบางราย อาทิ นาง Aurélie Alemany ผู้บริหารของบริษัท Enercity บริษัทสาธารณูปโภคระดับภูมิภาคในเมือง Hannover เชื่อว่า “โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติไม่ใช่ทางเลือกเดียวที่มี” โดยเธอกล่าวในการสัมภาษณ์กับ Energate ผู้ให้บริการด้านอุตสาหกรรมฯ ว่า “เราสนับสนุนให้ขยายพื้นที่ในระบบ สร้างความหลากหลายในทางเลือกอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดเก็บไฟฟ้า ขยายความยืดหยุ่นการใช้พลังงานไฟฟ้า และการโหลดพลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมได้ในรูปแบบอื่น ๆ นอกเหนือไปจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติใหม่เพียงอย่างเดียว” เมื่อไม่นานนี้ โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเองก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างความมั่นคงด้านอุปทานความต้องการไฟฟ้าได้อีกด้วย โดยนาง Alemany ยกตัวอย่างเฉพาะ “ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการโรงไฟฟ้าแบบผลิตพลังงานความร้อนและไฟฟ้าผสมที่สามารถใช้งาน Renewable Natural Gas (RNG) มาผสมจำนวน 2 โรงไฟฟ้า ในเมือง Hannover ซึ่งทำให้เรายุติการใช้งานถ่านหินได้ ดังนั้นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่จึงไม่ใช่ทางเลือกเดียวอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการเป็นโครงการแบบกระจายพื้นที่ทั่วเยอรมนีสามารถดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแน่นอน”

&nbsp;

สำหรับบริษัท Vattenfall ผู้ผลิตพลังงานได้พัฒนา “โครงการริเริ่มเพิ่มความยืดหยุ่น” ขึ้น โดยได้ระบุมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นไว้ ซึ่งโครงการนี้จะทำให้โรงไฟฟ้าก๊าซบางแห่งที่เคยวางแผนไว้ในอดีต สูญเสียความจำเป็นในที่สุด โดย Vattenfall เชื่อว่า (1) จะต้องส่งเสริมการซื้อขายไฟฟ้าและการขยายเครือข่ายไฟฟ้าทั่วทั้งยุโรป (2) ขยายความพร้อมใช้งานสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการจัดเก็บพลังงานแบบยืดหยุ่นออกไป และ (3) ส่งเสริมความยืดหยุ่นในด้านอุปสงค์ในความต้องการพลังงานไฟฟ้า ในทางปฏิบัติสำหรับภาคอุตสาหกรรมความยืดหยุ่นด้านอุปสงค์นั้น อาจหมายถึงการปรับสายการผลิตให้สอดคล้องกับอุปทานไฟฟ้าในปัจจุบันให้มากขึ้น โดยในโครงการนี้ ได้ระบุว่า “ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อที่เราจะสามารถมั่นใจถึงความปลอดภัยด้านอุปทานพลังงานได้” แต่ “การอุดหนุนเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้แหล่งพลังงานจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียวจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการลงทุนอย่างสิ้นเชิง และมีความเสี่ยงทำให้ถูกจำกัดในการเลือกใช้ระบบจัดเก็บพลังงาน อีกทั้งทำให้ความยืดหยุ่นในเทคโนโลยีอื่น ๆ หลุดออกจากตลาด” ไปได้โดยอัตโนมัติ นาย Achim Dercks รองกรรมการผู้จัดการของสภาหอการค้าพาณิชย์และอุตสาหกรรมเยอรมนี (DIHK - Der Deutsche Industrie- und Handelskammertag) เห็นว่า การให้ความสำคัญต่อโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซเพียงอย่างเดียวจะทำให้คณะกรรมาธิการยุโรปเข้ามาวุ่นวายตั้งประเด็นสอบถามมากขึ้นอีกด้วย กล่าวว่า “ความตั้งใจของเยอรมนีต่อการที่โรงไฟฟ้าก๊าซอาจก่อให้เกิดปัญหาภายใต้กฎหมายความช่วยเหลือของรัฐ คณะกรรมาธิการยุโรปเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปิดกว้างทางเทคโนโลยี และมาตรการข้ามพรมแดนเป็นประจำ”

&nbsp;

จาก Handelsblatt 27 มิถุนายน 2568

medium_Weekly-News-from-Germany_20250627.jpg

small_Weekly-News-from-Germany_20250627.jpg

thumbnail_Weekly-News-from-Germany_20250627.jpg

Weekly-News-from-Germany_20250627.jpg

นโยบายพลังงานของรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนไม่ถูกติงหนัก

ออสเตรเลีย

รายงานอุตสาหกรรมเนื้อวัวในออสเตรลีย-final.pdf

large_เนื้อ.png

medium_เนื้อ.png

small_เนื้อ.png

thumbnail_เนื้อ.png

เนื้อ.png

สคต. ณ นครซิดนีย์ (ออสเตรเลีย)

ตลาดเนื้อวัวในออสเตรเลีย

จีน

โอกาสของธุรกิจบริการด้านสุขภาพของไทยในจีน-30.5.25-ใช้.pdf

medium_พย.jpg

small_พย.jpg

thumbnail_พย.jpg

พย.jpg

สคต. ณ นครเฉิงตู (จีน)

โอกาสธุรกิจบริการด้านสุขภาพของไทยในจีน

<ol> 	<li> ข้อมูลบุคคลองค์กรที่เข้าพบ</li>
</ol>
บริษัท : ศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ CR Intermodal

ชื่อ : Ms. Liu Min

ตำแหน่ง : ผู้จัดการ

ที่อยู่บริษัท : Wangjiaying District, Economic Development Zone, Kunming City, Yunnan Province

Tel. : 13888667747
<ol start="2">
 	<li> รายละเอียดบริษัท/องค์กร</li>
</ol>
2.1 ก่อตั้งเมื่อ : ปี พ.ศ.2547

2.2 ประวัติความเป็นมา : ศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ CR Intermodal ดำเนินงานภายใต้บริษัท China Railway United International Container Co., Ltd. เมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 และเริ่มเปิดใช้งานเมื่อวันที่             4 พฤศจิกายน 2549 เป็นศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์แห่งเดียวของมณฑลยูนนาน และแห่งเดียวของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนที่ให้บริการเชื่อมโยงทั้งการขนส่งทางรถไฟและถนน เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายรถไฟภายใต้     การดูแลของ Kunming Railway จัดตั้งอยู่ในเขต Economic Development Zone ของนครคุนหมิง           มีตำแหน่งใกล้กับ Kunming South Railway และเขตโลจิสติกส์สำหรับท่าเรือการค้าอาเซียน มีความเชื่อมโยงในด้านโลจิสติกส์ และมีความสะดวกในการขนส่งสินค้า

ศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ CR Intermodal มีพื้นที่ทั้งหมด 1,239 หมู่ หรือประมาณ 517 ไร่ (พื้นที่ลานจัดเก็บสามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้ 20,000 ตู้ ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้แผนแม่บทโลจิสติกส์ทางรถไฟของมณฑลยูนนาน (ปี 2016–2030) ถือเป็นศูนย์โลจิสติกส์ระดับหนึ่งของคุนหมิงรูปแบบตู้คอนเทนเนอร์ที่สำคัญที่ใช้ในเส้นทางรถไฟลาว – จีน มีเงินทุนประมาณ 340 ล้านหยวน มีพื้นที่คลังเก็บสินค้า 27,000 ตารางเมตร และเป็น 1 ใน 18 ศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ระดับประเทศ มีการพัฒนาเป็นศูนย์กลางขนส่งเชื่อมต่อจีน - อาเซียน

นอกจากนี้ ศูนย์ดังกล่าวมีเส้นทางการขนถ่ายสินค้า 4 เส้นทาง แต่ละเส้นทางมีความยาว 850 เมตร ซึ่งรองรับตั้งแต่การมาถึงของสินค้า การขนส่งและขนถ่ายสินค้าที่มาตามเส้นทางรถไฟ ศูนย์ดังกล่าวมีคลังสินค้าขนาด 27,000 ตารางเมตร สามารถตอบสนองความต้องการด้านการจัดเก็บสินค้าและช่วยลดต้นทุนการขนส่งในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี มีเส้นทางรถไฟที่เชื่อมโยงกับมณฑลกวางสี กุ้ยโจว เสฉวน และเมืองฉงชิ่ง              จึงกลายเป็นสถานีที่มีทรัพยาการการขนส่งทางรถไฟที่เพียงพอและมีการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ CR Intermodal ได้ดำเนินการเดินไฟขนส่งสินค้าด้วยเส้นทางรถไฟลาว - จีนจำนวนมาก รวมถึง ขบวน Lancang-Mekong Express ทำให้ปริมาณการขนส่งสินค้าจากสถานีหวังเจียหยิงเพิ่มขึ้น ครอบคลุมประเทศปลายทางต่าง ๆ เช่น ไทย เมียนมา กัมพูชา สิงคโปร์ บังกลาเทศ เป็นต้น

<img class="alignnone size-full wp-image-207724" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627130705.png" alt="" width="913" height="236" />
<ol start="3">
 	<li> คาดการณ์มูลค่าการสั่งซื้อ : -</li>
 	<li> สรุปผลการหารือ/เข้าพบ : </li>
</ol>
ศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ CR Intermodal ดำเนินการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร และเป็น 1 ใน 18 ศูนย์     โลจิสติกส์คอนเทนเนอร์ระดับประเทศ มีการพัฒนาเป็นศูนย์กลางขนส่งเชื่อมต่อจีน – อาเซียน ศูนย์              ตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวสามารถรองรับได้สูงสุด 16,000 TEU และมีคลังสินค้าอัจฉริยะพื้นที่กว่า 26,000 ตารางเมตรที่รับรองการจัดเก็บทั้งสินค้าแบบแห้งและแช่เย็น ทั้งนี้ ในส่วนของสถานีรถไฟหวังเจียหยิงแห่งนี้มีรางรถไฟทั้งหมด 11 ราง มีชานชาลา 3 ชานชาลา และช่องทางเข้า-ออก 10 ช่องทาง ถือเป็นสถานีที่มี        ความทันสมัยที่สุดในระบบรถไฟคุนหมิง อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการโหลดและขนส่งสินค้า

ในปี 2567 ศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ CR Intermodal มีการดำเนินการจัดการตู้คอนเทนเนอร์ 473,000 TEU และขนส่งรวมทั้งสิ้น 126,000 TEU ดำเนินการขนส่งด้วยรถไฟลาว - จีน 789 ขบวน 18,375 ตู้ ขนส่งด้วยรถไฟเส้นทางพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกรวมทั้งสิ้น 199 ขบวน 8,851 ตู้ ขนส่งด้วยเส้นทางรถไฟเฉิงตู 46 ขบวน 1,743 ตู้ ขนส่งด้วยเส้นทางรถไฟฟื้นฟูชนบท 354 ขบวน 3,052 ตู้ และขนส่งด้วยรถไฟสายตะวันออกต้าหลี่ 235 ขบวน 604 ตู้
<ul>
 	<li>สถานการณ์การขนส่งสินค้าของรถไฟลาว – จีน</li>
</ul>
รถไฟลาว - จีน เป็นโครงการที่สำคัญที่แสดงถึงความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีนและลาว และเป็นโครงการที่แสดงถึงบทบาทของนโยบาย “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” เส้นทางรถไฟลาว - จีน เริ่มก่อสร้างตลอดสายในเดือนธันวาคม 2559 และเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 รวมระยะทางทั้งสิ้น 1,035 กิโลเมตร เป็นทางรถไฟมาตรฐานสายแรกที่เชื่อมต่อโดยตรงระหว่างเครือข่ายรถไฟของจีนและลาว ตลอดเส้นทางมีสถานีขนส่งผู้โดยสารและสินค้า 26 สถานี โดยเริ่มต้นจากเมืองคุนหมิง ผ่านด่านชายแดนโม่ฮานและเข้าสู่ประเทศลาว กรุงเวียงจันทน์ ทั้งนี้ รถไฟลาว - จีน มีระยะความเร็วในช่วงคุนหมิง – ยวี่ซีอยู่ที่ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง และช่วงสิบสองปันนา – เวียงจันทน์ มีความเร็วอยู่ที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง

จนกระทั่งวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ CR Intermodal มีการขนส่งสินค้าด้วยรถไฟลาว - จีน 2,134 ขบวน 41,000 ตู้ มีปริมาณการขนส่งสินค้าอยู่ที่ 960,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 14,000 ล้านหยวน ในจำนวนนี้เป็นรถไฟขบวน Lancang-Mekong Express  ขนส่งสินค้า 945 ขบวน 20,373 ตู้ นอกจากนี้ รถไฟลาว – จีนได้ขนส่งสินค้าขาเข้าจีนอยู่ที่ 35,000 ขบวน ปริมาณ 950,000 ตัน

การขนส่งสินค้าขาออกจากจีนมีปริมาณสินค้าทั้งสิ้น 3,000 กว่าประเภท ครอบคลุมการขนส่งไปยังประเทศต่าง ๆ 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย เมียนมา มาเลเซีย ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ บังคลาเทศ และเวียดนาม      ส่วนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยขนส่งผ่านเส้นทางรถไฟลาว - จีน มีสินค้า ได้แก่ แร่ธาตุ ผลไม้ อาหาร ยาสูบ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และปุ๋ย เป็นต้น นำเข้าจาก 7 ประเทศ ได้แก่ ลาว ไทย เมียนมา มาเลเซีย      สิงโปร์ กัมพูชาและเวียดนาม

&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;
<ul>
 	<li>ประเภทของตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ในการขนส่งบนเส้นทางรถไฟลาว - จีน</li>
</ul>
<img class="alignnone size-full wp-image-207725" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627130743.png" alt="" width="888" height="686" />

&nbsp;
<ul>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207726" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627130808.png" alt="" width="750" height="300" /></li>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207727" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627130932.png" alt="" width="795" height="625" /></li>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207728" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627131004.png" alt="" width="769" height="295" /></li>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207729" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627131040.png" alt="" width="770" height="600" /></li>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207730" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627131104.png" alt="" width="753" height="286" /></li>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207731" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627131128.png" alt="" width="751" height="590" /></li>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207732" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627131157.png" alt="" width="770" height="618" /></li>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207733" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627131226.png" alt="" width="756" height="300" /></li>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207734" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627131259.png" alt="" width="770" height="591" /></li>
 	<li>
<ol start="5">
 	<li>5. ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ : </li>
</ol>
CR Intermodal เป็นศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ที่สำคัญที่ตั้งอยู่ในสถานีรถไฟหวังเจียยิง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อด้านโลจิสติกส์ของมณฑลยูนนานกับภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทุกขบวนของมณฑลยูนนาน สคต. ณ นครคุนหมิงให้ความสำคัญด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกระจายสินค้าไทยสู่จีน อีกทั้งมณฑลยูนนานมีข้อได้เปรียบในด้านการเป็น Gateway ในการกระจายสินค้าไทยไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของจีน ทำให้สคต. ณ นครคุนหมิงมีความมุ่งมั่นในการแสวงหาช่องทางในการกระจายสินค้าไทยสู่มณฑลอื่น ๆ ทั่วประเทศจีน โดยเฉพาะจีนตอนใต้และจีนตะวันตกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังมีนโยบายเร่งขยายความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ระหว่างนักธุรกิจไทยและจีน โดยการจัด Business Matching / Online Business Matching เพื่อให้นักธุรกิจทั้งสองฝ่ายได้เจรจา    ความร่วมมือ สานต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจ เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ</li>
 	<li><img class="alignnone size-full wp-image-207735" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/2025/06/微信图片_20250627131349.png" alt="" width="867" height="682" /></li>
</ul>

สคต. ณ นครคุนหมิง (จีน)

รายงาน Business Creation and Networking ประจำเดือนมิถุนายน 2568 (ศูนย์ตู้คอนเทนเนอร์ CR Intermodal) สคต.คุนหมิง

เขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการส่งออกของกัมพูชาไปยังตลาดต่างประเทศ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกจาก SEZ คิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศ
จากรายงานของกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระบุว่า ณ สิ้นปี 2024 กัมพูชามีเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เปิดดำเนินการแล้ว 30 แห่ง เพิ่มขึ้นจาก 21 แห่งในปี 2020 เป็น 26 แห่งในปี 2023 และเป็น 30 แห่ง ในปี 2024

SEZ ทั้ง 30 แห่งกระจายอยู่ใน 12 จังหวัดและเมืองหลวง ได้แก่ สวายเรียง พระสีหนุ บันเตียเมียนเจย เกาะกง กันดาล โพธิ์สัต กระแจะ กำปอต กำปงสปือ กำปงชนัง กำปงจาม และพนมเปญ

เขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากมีการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น ถนน พลังงาน และสำนักงานบริการภาครัฐ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการนำเข้าวัตถุดิบ การผลิต และการส่งออก ทั้งนี้ โรงงานส่วนใหญ่ใน SEZ เป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าหลักที่ส่งออกจากกัมพูชาไปยังตลาดโลก

ความเห็นของสำนักงานฯ
<ol>
 	<li>SEZ เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันกัมพูชาเข้าสู่เศรษฐกิจโลก โดยมีบทบาทในการส่งออก การจ้างงาน และการดึงดูดการลงทุน รัฐบาลได้ขับเคลื่อน SEZ อย่างต่อเนื่องภายใต้ยุทธศาสตร์เพนตากอน ระยะที่ 1 ซึ่งเน้นการกระจายอุตสาหกรรม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ยกระดับทักษะแรงงาน และเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงในปี 2030 และรายได้สูงในปี 2050</li>
 	<li>รายงานของหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของกัมพูชา หรือ CDC ระบุว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 มีโครงการลงทุนใหม่ในกัมพูชา 290 โครงการ เพิ่มขึ้น 137 โครงการจากปีก่อน รวมมูลค่าประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเป็นนักลงทุนหลัก แม้การลงทุนโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลให้นักลงทุนไทยบางส่วนชะลอการลงทุนและปรับลดกำลังคนให้กลับไปปฏิบัติงานในไทยชั่วคราว โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนในกัมพูชา (1994–2024)</li>
</ol>
ที่มา: Phnom Penh Post &amp; CDC Official FB Page
มิถุนายน 2568

small_SEZ-1.jpg

thumbnail_SEZ-1.jpg

SEZ-1.jpg

“SEZ มีบทบาทสำคัญ ในการส่งออกของกัมพูชา”

สำนักข่าวเวียดนาม (VNA) รายงานว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 กรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัล (Vietnam e-Commerce and Digital Economy Agency: iDEA) กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม ได้ร้องขอให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซลบสินค้าที่ละเมิดกฎระเบียบออกไปมากกว่า 33,000 รายการ และจัดการกับร้านค้าที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยกว่า 11,000 ร้านค้า ตัวเลขที่สูงเช่นนี้สะท้อนถึงปัญหาการละเมิดที่ทวีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในสภาพแวดล้อมทางการค้าออนไลน์ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัลกำลังเร่งดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ฉบับแก้ไข (The draft Law on E-commerce (amended)) ซึ่งเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการประจำรัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบต่อหลักการสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว
ร่างกฎหมายฉบับแก้ไขนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างรอบด้าน และคาดว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) การระบุตัวตนของผู้ขายอย่างชัดเจน โดยจากเดิมที่ผู้ขายแสดงตนเพียงในชื่อร้านค้า ทำให้เมื่อถูกตรวจพบการละเมิดสามารถปิดร้านเดิมและเปิดร้านใหม่ได้ง่าย ร่างกฎหมายฉบับแก้ไขจะกำหนดให้มีการยืนยันตัวตน ซึ่งจะช่วยให้ตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มา จัดการกับการละเมิด และเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2) การควบคุมแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน โดยแพลตฟอร์มที่ไม่มีสถานะนิติบุคคลในเวียดนามจะต้องจดทะเบียนจัดตั้งหรือมอบอำนาจให้บริษัทเวียดนามที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นตัวแทนในการรับผิดชอบทางกฎหมาย หากเกิดข้อพิพาทหรือมีการจำหน่ายสินค้าปลอม ตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายและดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภคชาวเวียดนาม และ (3) นอกจากการยกระดับทางกฎหมายแล้ว กรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัลยังได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกหลายด้านเพื่อป้องกันการจำหน่ายสินค้าปลอม สินค้าเลียนแบบ และการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในโลกดิจิทัล
ทั้งนี้ กรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัลยังให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งกลไกจัดการข้อพิพาทข้ามพรมแดนอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและผู้ประกอบการภายในประเทศอย่างแท้จริง จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากขาดความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับแพลตฟอร์มและหน่วยงานต่างชาติที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในกรณีที่แพลตฟอร์มรายใหญ่หลายแห่งยังไม่ได้จัดตั้งนิติบุคคลภายในเวียดนาม
(แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 21 มิถุนายน 2568)
วิเคราะห์ผลกระทบ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดค้าปลีกของเวียดนามได้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคอีคอมเมิร์ซ ซึ่งได้กลายมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ปัจจุบันเวียดนามถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตของการค้าออนไลน์สูงที่สุดในอาเซียน โดยมีผู้บริโภคมากกว่า 50 ล้านคนที่ใช้ช่องทางดิจิทัลในการซื้อสินค้าและบริการ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่แพร่หลาย ราคาสินค้าที่สามารถแข่งขันได้ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับการใช้งานโซเชียลมีเดีย ล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัวของตลาดอย่างก้าวกระโดด ทั้งยังเป็นแรงดึงดูดสำคัญที่กระตุ้นให้ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศเข้าสู่ตลาดเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี การเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซในเวียดนามก็ได้นำมาซึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างและความท้าทายด้านการกำกับดูแลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะปัญหาการจำหน่ายสินค้าปลอม สินค้าคุณภาพต่ำ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและทำลายภาพลักษณ์ของตลาดดิจิทัลในระยะยาว ที่สำคัญคือ ช่องโหว่ในระบบการตรวจสอบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขายสามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้โดยง่าย เช่น การปิดร้านค้าเก่าหลังถูกดำเนินคดี แล้วเปิดร้านใหม่ในชื่ออื่น ซึ่งทำให้ภาครัฐไม่สามารถติดตามหรือควบคุมพฤติกรรมเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ กรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัลจึงได้เริ่มดำเนินมาตรการควบคุมเชิงรุก โดยล่าสุดได้สั่งให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซลบสินค้าละเมิดกฎหมายกว่า 33,000 รายการ และจัดการกับร้านค้าที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยกว่า 11,000 แห่ง ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของรัฐในการสร้างระบบอีคอมเมิร์ซที่โปร่งใส ปลอดภัย และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
เพื่อต่อยอดความพยายามด้านนโยบายดังกล่าว รัฐบาลเวียดนามยังได้เร่งปรับปรุงร่างกฎหมายว่าด้วยการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมุ่งเน้นการสร้างกรอบกฎหมายที่ครอบคลุมและทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาวอย่างมั่นคง ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้เน้นย้ำในสามประเด็นสำคัญ ได้แก่ (1) การบังคับให้มีการยืนยันตัวตนของผู้ขายอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับและดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2) การควบคุมแพลตฟอร์มข้ามพรมแดนที่ไม่มีสถานะนิติบุคคลในเวียดนาม โดยกำหนดให้ต้องจดทะเบียนหรือมอบอำนาจให้ตัวแทนในประเทศที่สามารถรับผิดชอบทางกฎหมายแทนได้ และ (3) การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการกับการละเมิดสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญาและสินค้าปลอมในระดับภูมิภาคและระดับโลก แม้ว่าแนวทางดังกล่าวอาจสร้างภาระเพิ่มขึ้นให้กับผู้ประกอบการบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ค้ารายย่อยที่ยังขาดความพร้อมในการปรับตัว แต่ในภาพรวมแล้ว การยกระดับนโยบายและกฎหมายเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค กระตุ้นการแข่งขันที่เป็นธรรม และวางรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลของเวียดนามในระยะยาว
นำเสนอโอกาส/แนวทาง
ในปี 2568 ตลาดค้าปลีกของเวียดนามกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากการปฏิรูปกฎหมายและแนวโน้มการค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี รัฐบาลเวียดนามได้ยกระดับการกำกับดูแลแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซผ่านการบังคับใช้มาตรการด้านกฎหมาย เช่น การระบุตัวตนของผู้ขาย การควบคุมแพลตฟอร์มข้ามพรมแดน และการกำหนดให้มีตัวแทนในประเทศเพื่อรองรับความรับผิดทางกฎหมาย 


ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงด้านสินค้าปลอม การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในประเทศ ภายใต้บริบทดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยที่มีระบบบริหารจัดการโปร่งใส ปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ครบถ้วน และมีภาพลักษณ์แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ จะได้รับความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคมของแบรนด์มากขึ้น
นอกจากข้อกำหนดทางกฎหมายแล้ว ตลาดเวียดนามยังมีแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของการขายผ่าน Livestream บนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง TikTok, Facebook และ Instagram หรือการใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูล พัฒนา Chatbot และสร้างคอนเทนต์เฉพาะบุคคลเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ขณะเดียวกัน การค้าข้ามพรมแดนผ่านแพลตฟอร์มระดับโลก เช่น Amazon, Shopee Global และ Alibaba ก็มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าไทยที่มีจุดแข็งด้านคุณภาพและความคุ้มค่า ผู้ประกอบการไทยจึงควรเร่งปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ Quick Commerce และ Green E-commerce ที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งนี้ การปรับตัวให้สอดรับทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภค จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจไทยในเวียดนามเติบโตได้อย่างยั่งยืนในบริบทตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้

เวียดนาม

News-23-27-June-VN-Handling-more-than-11000-e-commerce-stores-Edit.pdf

medium_91-min.jpeg

small_91-min.jpeg

thumbnail_91-min.jpeg

91-min.jpeg

สคต. ณ นครโฮจิมินห์ (เวียดนาม)

เวียดนามเร่งจัดระเบียบอีคอมเมิร์ซ ลบสินค้าผิดกฎกว่า 33,000 รายการ  เตรียมออกกฎหมายใหม่คุมเข้มแพลตฟอร์มข้ามพรมแดน